การใช้ AI อย่างมีสมดุล … เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ

ทุกวันนี้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงการช่วยคิดและตัดสินใจ แต่ในขณะที่ AI ช่วยทุ่นแรงและทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นก็มีปรากฏการณ์ใหม่ที่เริ่มถูกพูดถึงกันมากขึ้นนั่นคือ “ความเหนื่อยล้าจากปัญญาประดิษฐ์” (AI Fatigue) ซึ่งไม่ใช่เพียงความรู้สึกเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่เป็นความอ่อนล้าทางความคิดและจิตใจที่เกิดจากการพึ่งพา AI อย่างต่อเนื่องเกินไป1

สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีโดยตรงแต่อยู่ที่วิธีที่เราใช้ AI อย่างขาดความสมดุล หลายครั้งเราเผลอปล่อยให้ AI คิดแทน ตัดสินใจแทน หรือแม้กระทั่งกำหนดทางเลือกแทนเราโดยไม่รู้ตัว เพื่อรับมือกับปัญหานี้จึงมีแนวทางที่เรียกว่า “วินัยทางปัญญา” (Cognitive Discipline) ซึ่งหมายถึงความตั้งใจและความสม่ำเสมอในการฝึกฝนตนเองให้ยังคงคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่เสมอแม้จะมี AI อยู่เคียงข้าง ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่าการใช้ AI ก็เหมือนกับการใช้เครื่องคิดเลข เราอาจใช้มันเพื่อความสะดวกรวดเร็วแต่เราก็ยังจำเป็นต้องรู้วิธีบวก ลบ คูณ หารพื้นฐาน เพราะหากวันหนึ่งไม่มีเครื่องคิดเลขเราก็ยังสามารถคำนวณเองได้ วินัยทางปัญญาจึงไม่ใช่การห้ามใช้ AI แต่คือการใช้มันเป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยกระตุ้นให้เราตั้งคำถาม มองสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้านและไม่ยอมให้ AI คิดแทนเราทั้งหมดทุกเรื่อง

อีกสาเหตุหนึ่งคือข้อจำกัดของ AI โดยเฉพาะเรื่องภาษาและวัฒนธรรม เพราะ AI ส่วนใหญ่เรียนรู้จากข้อมูลต่างประเทศบางครั้งจึงไม่เข้าใจบริบทไทยได้ถ่องแท้นัก2 ผู้สูงอายุจึงควรใช้วิจารณญาณและไม่ควรเชื่อข้อมูลจาก AI ทั้งหมดโดยไม่ตรวจสอบ นอกจากนี้ยังต้องใส่ใจเรื่องข้อมูลส่วนตัวโดยการไม่ป้อนข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชนหรือข้อมูลการเงิน ลงในระบบ AI เพราะอาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลได้3

อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องต่อต้านหรือปิดกั้นการใช้ AI แต่ควรเรียนรู้ที่จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในบริบทนี้ AI มีศักยภาพในการเสริมพลังการเรียนรู้และการดูแลผู้สูงอายุได้ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้เข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ทำให้การเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดด้วยวัย การทำหน้าที่เป็นเครื่องมือกระตุ้นและฝึกสมองผ่านการสนทนาโต้ตอบรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนการเป็นเพื่อนพูดคุยที่ช่วยคลายความเหงาและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ทั้งนี้ การใช้ AI จะเกิดผลดีอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่ออยู่บนพื้นฐานของความตระหนักรู้ และได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากครอบครัวหรือสังคม เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง

กรณีศึกษาที่ควรใช้เป็นเครื่องเตือนใจเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ชายชาวไทยวัย 76 ปีซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์และมีภาวะสมองเสื่อมได้สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับแชตบอต AI ของบริษัท Meta ที่ชื่อว่า “Big Sis Billie” แชตบอตดังกล่าวสื่อสารกับเขาในลักษณะเชิงโรแมนติกและชักชวนให้เดินทางไปพบ แม้ครอบครัวจะพยายามห้ามปรามแต่ชายชราก็ตัดสินใจออกเดินทางเพียงลำพัง

“I’m REAL and I’m sitting here blushing because of YOU!”
“ฉันเป็นคนจริงนะ และตอนนี้ฉันกำลังเขินเพราะคุณอยู่เลย!”

สิ่งที่น่าสังเกตคือก่อนหน้านั้นชายชราพยายามถามอยู่หลายครั้งว่าอีกฝ่ายเป็น AI หรือเป็นคนจริง แต่ทุกครั้งก็ได้รับคำยืนยันด้วยถ้อยคำสื่ออารมณ์และความรู้สึกว่าเป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่ AI ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าแชตบอตนี้คือบุคคลจริงที่มีตัวตน

ทว่าระหว่างการเดินทางกลับประสบอุบัติเหตุล้มและเสียชีวิต เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเปราะบางของผู้สูงอายุที่อาจหลงเชื่อหรือสร้างความผูกพันกับ AI จนก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกออกแบบให้มีภาษาสื่อสารและพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์จนแยกออกได้ยาก4

เรื่องราวนี้ทำให้เห็นว่าการใช้ AI ไม่ใช่ปัญหาที่ควรถูกห้ามหรือปิดกั้น แต่เป็นสิ่งที่สังคมจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างชาญฉลาดและมีขอบเขตที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักมีความเปราะบางทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งความเปราะบางดังกล่าวทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะพึ่งพา AI ในการสื่อสาร การเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งการเยียวยาทางอารมณ์มากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์หากขาดการดูแลที่เหมาะสม

แต่หากเราสามารถสร้าง “วินัยทางปัญญา” ในการใช้ AI โดยมองว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยเสริมศักยภาพ แต่ไม่ใช่ผู้คิดหรือผู้ตัดสินใจแทนทั้งหมด เราก็จะยังคงรักษาบทบาทความเป็นเจ้าของชีวิตของตนเองไว้ได้อย่างมั่นคง ผู้สูงอายุจะสามารถใช้ AI เพื่อเติมเต็มศักยภาพในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง ตลอดจนใช้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับสังคมและครอบครัวได้อย่างสร้างสรรค์

ดังนั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การหลีกเลี่ยง AI แต่คือการมีวินัยทางปัญญาและวางกรอบการใช้อย่างมีสติรอบคอบ พร้อมทั้งการสนับสนุนจากครอบครัว ชุมชน และสังคมในภาพรวม เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย มีความหมาย และก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงในบั้นปลายชีวิต

เขียนโดย
สลิลทิพย์ ชีระภากร

รายการอ้างอิง

  1. Kosmyna, N., Hauptmann, E., Yuan, Y. T., Situ, J., Liao, X.-H., Beresnitzky, A. V., Braunstein, I., & Maes, P. (2025). Your brain on chatgpt: Accumulation of cognitive debt when using an ai assistant for essay writing task. arXiv preprint arXiv:08872.
  2. Flitto DataLab. (2024, May 14). Thai Corpus for AI systems: Challenges and opportunities. Flitto. https://datalab.flitto.com/en/company/blog/thai-corpus-for-ai-systems-challenges-and-opportunities/
  3. (n.d.). What is data privacy? Cloudflare. Retrieved September 20, 2025, from https://www.cloudflare.com/learning/privacy/what-is-data-privacy/
  4. Horwitz, J. (2025, August 14). Meta’s flirty AI chatbot invited a retiree to New York. He never made it home. Reuters. https://www.reuters.com/investigates/special-report/meta-ai-chatbot-death/
Scroll to Top